เรารู้แล้วว่าสสารทั้งมวลถูกสร้างขึ้นจากอนุภาคสองสามประเภทเท่านั้น อิเล็กตรอนเป็นอนุภาคมูลฐานของสสารอันแรกที่เราค้นพบ แต่อิเล็กตรอนเป็นควอนตัมมูลฐานของไฟฟ้าชนิดลบด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเราได้เรียนรู้ว่าปรากฏการณ์บางอย่างบังคับให้เราสมมติว่าแสงประกอบด้วยควอนตัมแสงมูลฐานที่ต่างกันสำหรับความยาว - คลื่นที่ต่างกัน ก่อนที่จะดำเนินการต่อไปเราจะต้องพูดเกี่ยวกับปรากฏการณ์เชิงฟิสิกส์บางอย่างซึ่งสสารและรังสีมีบทบาทสำคัญ
ดวงอาทิตย์ปล่อยรังสีซึ่งอาจถูกแยกออกเป็นส่วนประกอบของมันได้โดยใช้ปริซึม เราจึงสามารถได้ เสปกตรัมที่ต่อเนื่องของดวงอาทิตย์ได้ทุกๆ ความยาว - คลื่นที่อยุ่ระหว่างปลายทั้งสองของสเปกตรัมที่มองเห็นได้ถูกแสดงออกมา เราลองยกตัวอย่างอีกอย่างหนึ่ง ก่อนหน้านี้เราได้กล่าวว่าโซเดียมเมื่อลุกสว่างด้วยความร้อนจะปล่อยแสงเอกพันธ์ซึ่งเป็นแสงที่มีสีหนึ่งสีหรือมีความยาว - คลื่นหนึ่งความยาว - คลื่นออกมา ถ้าเราวางโซเดียวที่ลุกสว่างด้วยความร้อนไว้ตรงหน้าปริซึมเราจะเห็นเส้นสีเหลืองหนึ่งเส้นเท่านั้น โดยทั่วๆ ไปถ้าวางวัตถุที่แผ่รังสีออกไปทุกทิศไว้ตรงหน้าปริซึม และแล้วแสงที่มันปล่อยออกมาจะถูกแยกออกเป็นส่วนประกอบของมัน ซึ่งแสดงให้เห็นลักษณะเฉพาะตัวเชิงสเปกตรัมของวัตถุที่ปล่อยออกมา
ทั้งหมดที่เพิ่งจะพูดไปตอนนี้อาจถูกแปลงให้เป็นภาษาเชิงโฟตอนได้แถบสอดคล้องกับความยาว - คลื่นที่ชัดเจนแน่นอนความยาว - คลื่นหนึ่งหรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือสอดคล้องกับโฟตอนที่มีพลังงานที่ชัดเจนแน่นอนพลังงานหนึ่ง ดังนั้นแก๊สที่ลุกสว่างไม่ได้ปล่อยโฟตอนที่มีพลังงานที่เป็นไปได้ทั้งหมดออกมา แต่ปล่อยเพียงโฟตอนที่มีลักษณะเฉพาะตัวของสสารออกมาเท่านั้น ความเป็นจริงจำกัดความเป็นไปได้จำนวนมากมายอีกครั้ง
อะตอมของธาตุโดยเฉพาะธาตุหนึ่ง ตีเสียว่าไฮโดรเจนจะปล่อยได้เพียงโฟตอนที่มีพลังงานที่ชัดเจนแน่นอนเท่านั้น อนุญาตให้ปล่อยได้เพียงควอนตัมพลังงานที่ชัดเจนแน่นอนเท่านั้น ควอนตัมอื่นๆ ทั้งหมดถูกห้าม เพื่อให้ง่ายนึกภาพว่าธาตุบางธาตุปล่อยออกมาหนึ่งเส้นเท่านั้น หรืออีกนัยหนึ่งคือโฟตอนที่มีพลังงานที่ชัดเจนแน่นอนมาก ก่อนการปล่อยอะตอมมีพลังงานมากกว่าและหลังจากนั้นไม่นานจะมีพลังงานน้อยกว่า จากหลักการเชิงพลังงานจะต้องหมายความว่าก่อนการปล่อยระดับพลังงานของอะตอม สูงกว่า และหลังจากนั้นไม่นานจะต่ำกว่า และนั่นคือความแตกต่างระหว่างระดับทั้งสองจะต้องเท่ากับพลังงานของโฟตอนที่ ถูกปล่อยออกมา ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าอะตอมของธาตุๆ หนึ่งปล่อยรังสีที่มีความยาว - คลื่นเพียงหนึ่งความยาว - คลื่นเท่านั้นออกมา หรืออีกนัยหนึ่งคือโฟตอนที่มีพลังงานที่ชัดเจนแน่นอนเท่านั้น เราอาจพูดออกมาได้ต่างกันคืออนุญาตให้มีระดับพลังงานได้เพียงสองระดับเท่า นั้นในอะตอมหนึ่งของธาตุนี้ และการปล่อยของโฟตอนสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของอะตอมจากระดับพลังงานที่ สูงกว่าไปสุ่ระดับพลังงานที่ต่ำกว่า
แต่โดยทั่วไปจะปรากฏให้เห็นเส้นมากกว่าหนึ่งเส้นในสเปกตรัมของธาตุ โฟตอนที่ถูกปล่อยออกมาสอดคล้องกับพลังงานจำนวนมากและไม่ได้สอดคล้องกับเพียงหนึ่งพลังงานเท่านั้น หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเราจะต้องสมมติว่าในอะตอมๆ หนึ่งอนุญาตให้มีระดับพลังงานจำนวนมากและนั่นคือการปล่อยของโฟตอนสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของอะตอมจากระดับพลังงานที่สูงกว่าไปสู่ระดับพลังงานที่ต่ำกว่า แต่ที่สำคัญก็คือไม่ใช่ทุกๆ ระดับพลังงานควรจะได้รับอนุญาต เนื่องจากไม่ใช่ทุกๆ ความยาว - คลื่น ไม่ใช่ทุกๆ โฟตอน - พลังงานปรากฏขึ้นในสเปกตรัมของธาตุหนึ่งๆ แทนที่จะพูดว่าเส้นที่ชัดเจนแน่นอนจำนวนหนึ่ง ความยาว - คลื่นที่ชัดเจนแน่นอนจำนวนหนึ่งเป็นของสเปกตรัมของทุกๆ อะตอม เราอาจพูดได้ว่าทุกๆ อะตอมมีระดับพลังงานที่ชัดเจนแน่นอนจำนวนหนึ่ง และนั่นคือการปล่อยควอนตัมแสงออกมาเกี่ยวเนื่องกับการเปลี่ยนแปลงของอะตอม จากระดับพลังงานหนึ่งไปสู่อีกระดับหนึ่ง โดยทั่วไประดับพลังงานจะไม่ต่อเนื่อง แต่เป็นช่วงๆ เราจะเห็นว่าความเป็นไปได้ถูกจำกัดโดยความเป็นจริงอีกครั้ง
โบร์ นั่นเองที่แสดงให้เห็นเป็นครั้งแรกว่าทำไมมีแค่เส้นเหล่านี้เท่านั้นไม่มีเส้นอื่นๆ ปรากฏขึ้นในสเปกตรัม ทฤษฎีของเขาซึ่งกำหนดขึ้นเมื่อยี่สิบห้าปีที่แล้วได้วาดภาพจินตานาการของอะตอม ที่แม้จะเป็นกรณีง่ายๆ ก็ตาม ซึ่งทำให้เราสามารถคำนวณสเปกตรัมของธาตุได้ และทำให้ตัวเลขที่ดูเหมือนว่าไม่น่าสนใจและไม่เกี่ยวข้องกันสอดคล้องกันในทันทีเมื่อมีทฤษฎีนี้
สเปกตรัมที่สามารถมองเห็นได้ของเราเริ่มด้วยความยาว - คลื่นๆ หนึ่งสำหรับสีม่วง และจบลงด้วยความยาว - คลื่นๆ หนึ่งสำหรับสีแดง หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือพลังงานของโฟตอนในสเปกตรัมที่สามารถมองเห็นได้ถูก ปิดล้อมอยู่ภายในขอบเขตที่ถูกสร้างขึ้นโดยพลังงานของโฟตอนของแสงสีม่วงและ แสงสีแดงเสมอ แน่ละการกำจัดนี้เป็นเพียงคุณสมบัติของตามนุษย์เท่านั้น ถ้าความแตกต่างในพลังงานของระดับพลังงานจำนวนหนึ่งมากพอ ดังนั้นโฟตอนอัลตราไวโอเลตจะถูกส่งออกมาซึ่งให้เส้นที่อยู่เลยสเปกตรัมที่ สามารถมองเห็นได้ออกไป เราไม่อาจตรวจพบการมีอยู่ของมันด้วยตาเปล่าได้ ; จะต้องใช้แผ่นโฟโตกราฟฟิก
รังสีเอ็กซ์ประกอบด้วยโฟตอนที่มีพลังงานมากกว่าโฟตอนของแสงที่สามารถมองเห็นได้มากด้วย หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความยาว - คลื่นของมันน้อยกว่าความยาว - คลื่นของแสงที่สามารถมองเห็นได้มาก อันที่จริงน้อยกว่าเป็นพันๆ เท่า
แต่เป็นไปได้หรือไม่ที่จะค้นคว้าหาความยาว - คลื่นที่มีขนาดเล็กเช่นนั้นในเชิงการทดลอง? มันยากพอสมควรที่จะทำเช่นนั้นสำหรับแสงธรรมดาๆ เราจะต้องมีสิ่งกีดขวางเล็กๆ หรือรูเล็กๆ รูเข็มสองรูที่อยู่ใกล้กันมากซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเลี้ยวเบนของแสงธรรมดาๆ จะต้องเล็กลงหลายพันเท่า แลละเข้าไปชิดกันมากขึ้น เพื่อที่จะแสดงให้เห็นการเลี้ยวเบนของรังสีเอ็กซ์
และแล้วเราจะวัดความยาว - คลื่นของรังสีเหล่านี้ได้อย่างไร? ตัวของธรรมชาติเองก็เข้ามาช่วยเรา
สมมติว่าลำของรังสีเอ็กซ์ตกลงบนผลึกและหลังจากผ่านทะลุผลึกแล้วถูกบันทึกลงบนแผ่นโฟโตกราฟิก ดังนั้นแผ่นนี้แสดงให้เห็นรูปแบบการเลี้ยวเบน เราได้ใช้วิธีการต่างๆ กัน เพื่อศึกษาสเปกตรัมรังสีเอ็กซ์เพื่อที่จะอนุมานข้อมูลที่เกี่ยวกับความยาว - คลื่นจากรูปแบบการเลี้ยวเบน สิ่งที่ได้พูดไปในที่นี้สองสามคำก็จะกินเนื้อที่หนังสือเป็นเล่มๆ แล้ว ถ้าเราชี้แจงรายละเอียดเชิงการทดลองและเชิงทฤษฎีทั้งหมด ในรูปที่ 3 เราแสดงรูปแบบการเลี้ยวเบนเพียงหนึ่งรูปแบบที่ได้จากหนึ่งในวิธีการจำนวนมาก และต่างๆ กัน เราเห็นวงมืดและวงสว่างซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวของทฤษฎีคลื่นจริงๆ อีกครั้ง รังสีที่ไม่มีการเลี้ยวเบนสามารถมองเห็นได้ที่จุดศูนย์กลางถ้าไม่ได้นำเอาผลึกมาวางไว้ระหว่างรังสีเอ็กซ์และผ่านโฟโตกราฟฟิกจะเห็นเพียงจุดสว่างที่จุดศูนย์กลาง จากบรรดาภาพถ่ายประเภทนี้เราอาจคำนวณหาความยาว - คลื่นของสเปกตรัมรังสีเอ็กซ์ได้ และในทางตรงกันข้ามถ้าเรารู้ความยาว - คลื่น เราอาจได้ข้อสรุปเกี่ยวกับโครงสร้างของผลึกได้
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น