ณ ดวงอาทิตย์อันยิ่งใหญ่ไกลโพ้น มีปรากฏการณ์มากมายเกิดขึ้นให้ศึกษา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ จุดดับบนดวงอาทิตย์ (sunspot) เปลวสุริยะ (prominence) การลุกจ้า (flare) การปลดปล่อยมวลสารชั้นโคโรนา (coronal mass ejection) ซึ่งสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งหมดมีความถี่ของการเกิดและความรุนแรงเปลี่ยนแปลงแกว่งเพิ่มขึ้น ลดลงอยู่เสมอ อย่างเป็นวัฏจักร
การค้นพบรอบของการเปลี่ยนแปลงปฏิกิริยาบนดวงอาทิตย์ ว่ามีลักษณะเป็นวัฏจักรเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 18 เมื่อนักดาราศาสตร์ทำการจดบันถึงจำนวนจุดดับบนผิวของดวงอาทิตย์ เเล้วพบกับความเชื่อมโยงระหว่างความเข้มข้นของสนามแม่เหล็ก ที่น้อยที่สุดในวงรอบปฏิกิริยาหนึ่ง และเข้มขนมากที่สุดในวงรอบปฏิกิริยาถัดไป ซึ่งหากเข้าใจถึงรูปแบบการเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว ก็จะสามารถคาดการณ์ความรุนแรงของปฎิกริยาในวงรอบถัดไปได้ โดยอาจจะอาศัยข้อมูลเก่าของปฏิกิริยาในวงรอบปัจจุบัน หรือสร้างแบบจำลองทางทฤษฎีเพื่อะอธิบายวงรอบของปฏิกิริยาบนดวงอาทิตย์
ที่มา ircamera.as.arizona.edu
วัฏจักรสุริยะ (Solar Cycle) คือ รอบของการเปลี่ยนแปลงปริมาณ "จุดดับของดวงอาทิตย์ " (Sunspot) สำหรับวัฏจักรสุริยะหนึ่งๆ จะกินระยะเวลาประมาณ 11 ปี
ภาพ the Sun changed between 1991 and 1995.
ที่มา noaanews.noaa.gov
สำหรับจุดดับบนดวงอาทิตย์นั้นก็คือ บริเวณ ที่อุณหภูมิของดวงอาทิตย์บริเวณนั้นต่ำกว่าบริเวณรอบๆ คือ ปกติเเล้วที่พื้นผิวจะมีอุณหภูมิประมาณ 5800 เควิน (about 5,500° C or 10,000° F) แต่จุดดับอุณหภูมิจะมีเเค่ 4000-4500 เควิน(4,000 K,about 3,700° C or 6,700° F). จึงทำให้มองเป็นจุดที่มืดกว่าบริเวณโดยรอบ จุดดับของดวงอาทิตย์นั้นเกิดเนื่องจากแนวสนามแม่เหล็กใต้ผิวดวงอาทิตย์เกิด การกลับทิศหรือการบิดขั้ว และ ณ บริเวณจุดดับดวงอาทิตย์ ก็มักจะพบว่ามีปรากฏการณ์ การลุกจ้า (solar flare) ของดวงอาทิตย์ ซึ่งจุดลุกจ้านี้เองที่จะมีลมสุริยะ (solar wind) ที่มีอุณหภูมิสูงมาก จนกระทั่งแรงดึงดูดของดวงอาทิตย์ไม่สามารถดึงชั้นบรรยากาศเอาไว้ได้ หรือก็คือ อนุภาคความเร็วสูงที่หลุดออกมาจากชั้นโคโรนา (corona) ของดวงอาทิตย์ทุกทิศทุกทางซึ่งมีอุณหภูมิสูง ปล่อยสู่บริเวณระหว่างดาวเคราะห์ ดังนั้นเเล้วหากมีจุดดับมาก ลมสุริยะที่จะเกิดขึ้นก็ย่อมจะรุนแรงเช่นกัน
ที่มา misterzwanch.com
องค์ประกอบของลมสุริยะนั้น95 เปอร์เซ็นต์เป็นโปรตอน (ไฮโดรเจน) อาจมีไอออนหนักรวมอยู่บ้างเล็กน้อย โดยมี 4 เปอร์เซ็นต์เป็นอนุภาคอัลฟ่า (ฮีเลียม) และอีก 1 เปอร์เซ็นต์เป็นประจุย่อย ๆ ของ คาร์บอน ไนโตรเจน ออกซิเจน นีออน แมกนีเซียม ซิลิคอน และเหล็ก
ที่มา ircamera.as.arizona.edu
คลิ๊กชม movie of A solar lare prominence from the TRACE satellite. http://ircamera.as.arizona.edu/NatSci102/movies/solflare.gif
คลิ๊กชม movie of An eruptive prominence from the SOHO satellite http://ircamera.as.arizona.edu/NatSci102/movies/solarerupt.gif
ปริมาณของจุดดับนั้น ในช่วงต่ำสุดอาจมีเพียง 2-3 จุด แต่ในช่วงที่มีมากที่สุดอาจจะมากกว่า 160 จุดถึง 200 จุด ในช่วงเริ่มวัฏจักร หรือ รอบ (cycle) ใหม่จะมีปริมาณของจุดดับน้อย และก็จะมีปริมาณจุดดับเพิ่มขึ้น และมากที่สุดในช่วงกลางวัฏจักร และค่อยๆน้อยลงในช่วงปลายวัฏจักร ก่อนจะเริ่มนับรอบ (cycle ) ใหม่อีกครั้ง หากจุดดับของดวงอาทิตย์ยิ่งมีมากเท่าไหร่ ดวงอาทิตย์ก็แปรปรวนมากเท่านั้น เพราะจากการลุกจ้าของดวงอาทิตย์นี่เอง จะมีการส่งรังสี อนุภาคโปรตอน อิเล็คตรอน ออกไปทั่วทุกทิศทาง ซึ่งลักษณะของการปลดปล่อยรังสีและอนุภาคต่างๆ ออกมาจากดวงอาทิตย์เช่นนี้ ในสภาวะปกติจะเรียกว่า "ลมสุริยะ" (Solar Wind) แต่ ในกรณีที่มีการปลดปล่อยรังสีและอนุภาคอย่างรุนแรง การเรียกก็จะเปลี่ยนจากคำว่า "ลม" เป็น "พายุ" นั้นก็คือ "พายุสุริยะ" (Solar Storm)
ที่มา www.stormblogging.com
อนุภาคความเร็วสูงที่ถูกปลดปล่อยออกมานี้ เมื่อมาถึงโลกก็อาจจะปะทะเข้ากับบรรยากาศชั้นแม่เหล็กของโลก และทำให้เกิดพายุขึ้นในบรรยากาศชั้นแมกนีโทสเฟียร์ และการที่อนุภาคพุ่งมาถึงโลก ก็จะกระทบกับบรรยากาศโดยเฉพาะที่ขั้วโลกตามเส้นแรงแม่เหล็ก เมื่อถูกเบี่ยงไปทางขั้วโลกทั้งสองขั้วก็จะเกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่า แสงเหนือ(aurora borealis) แสงใต้ (aurora australis)หรือแสงออโรร่านั่นเอง
แสงเหนือ – แสงใต้ เป็นปรากฏการณ์เรืองแสงสีต่าง ๆ บนท้องฟ้ายามค่ำคืน รูปร่างสวยงามคล้ายกับม่าน และมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างอย่างรวดเร็ว แสงสีที่เกิดจะมีลักษณะที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของก๊าซที่เกิดการแตกตัวที่อยู่ในชั้นบรรยากาศแล้วปลดปล่อย พลังงานในรูปของแสง แต่จะมีแสงสีแดงและสีเขียวเด่นเป็นพิเศษ โดยที่ออกซิเจนจะให้แสงสีเขียวหรือสีแดง ไนโตรเจนให้สีน้ำเงินหรือสีแดง ฮีเลียมให้สีฟ้าและสีชมพู ปรากฏการณ์สวยงามบนท้องฟ้าชนิดนี้. จะเห็นเฉพาะในประเทศที่อยู่ใกล้ กับขั้วโลกเท่านั้น เพราะจะเกิดขึ้นในบริเวณที่ละติจูดสูง และอยู่ในระดับความสูงตั้งแต่ 80 - 1,000 กิโลเมตร เหนือพื้นดิน
her head along the Dempster Highway in the Yukon
ที่มา hickerphoto.com
ที่มา farm4.static.flickr.com
สิ่งที่นักดาราศาสตร์ใช้เป็นตัวบอกจุดเริ่มต้นของวัฏจักร คือ การนับจำนวนจุดดับบนดวงอาทิตย์ ช่วงท้ายวัฏจักรจุดดับจะเกิดขึ้นบริเวณใกล้เส้นศูนย์สูตร เมื่อวัฏจักรใหม่เริ่มต้นเข้าสู่วัฏจักรขาขึ้น จุดดับจะเกิดขึ้นอยู่ในแนวเส้นรุ้งที่สูง คือ ค่อนไปทางขั้วดวงอาทิตย์ ราว 25-30 องศาทั้งเหนือและใต้ และมีขั้วของสนามแม่เหล็กในจุดดับตรงข้ามกับรอบที่ผ่านมา เมื่อวัฏจักรเข้าสู่จุดสูงสุด จุดดับบนดวงอาทิตย์จะเคลื่อนตัวมาอยู่ใกล้กับแนวเส้นศูนย์สูตร ซึ่งจะถึงจุดสูงสุดเมื่อจุดดับมีจำนวนประมาณ 160 จุด อีก วิธีหนึ่งที่ทำได้ก็คือนำตำแหน่งของจุดดับมาเขียนแผนภูมิเทียบกับเวลา เราจะได้แผนภูมิที่มีรูปร่างคล้ายกับตัวผีเสื้อ (Butterfly Diagram)
ที่มา astroengine.com
หรือวิธีการของ ริชาร์ด ซี. อัลทรอกซ์ นักดาราศาสตร์จากกองทัพอากาศสหรัฐฯ ด้วยใช้กระบวนการ "เร่งสู่ขั้ว" ที่ติดตามพฤติกรรมที่บรรยากาศชั้นโคโรนา โดยการตรวจจับอิออนของธาตุเหล็กที่สูญเสียอิเล็กตรอน ทำให้เค้าสามารถจุดสูงสุดของวัฎจักรว่าจะอยู่ในช่วงมกราคมถึงเมษายน ปี พ.ศ. 2543 ซึ่งผลการทำนายก็มีความใกล้เคียงกับวิธีการนับจุดดับบนดวงอาทิตย์
วัฏจักรดวงอาทิตย์ครั้งล่าสุด คือ วัฏจักรที่ 23 (เริ่มนับรอบแรกตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2300) ซึ่งดวงอาทิตย์แสดงจุดสูงสุดของวัฏจักรปี พ.ศ. 2543 ส่วนวัฏจักรรอบใหม่ ฃ นักวิทยาศาสตร์คาดว่าน่าจะเริ่มต้นขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2554 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า
ที่มา openpresswire.com
ช่วงนี้จึงอยู่ในช่วงที่ นักดาราศาสตร์กำลังเฝ้ามองว่า วัฏจักรดวงอาทิตย์รอบที่ 24 ได้เริ่มต้นขึ้นหรือยัง โดยอาศัยการวัดปริมาณของ Flux density หรือค่าความหนาแน่นของสนามแม่เหล็ก ที่พุ่งออกมาจากดวงอาทิตย์มายังโลกเป็นจุดสังเกต อย่างไรก็ตามวัฏจักรสุริยะที่อยู่ถัดกันอาจมีการเหลื่อมเวลาเล็กน้อย ซึ่งอาจกินเวลานานถึงหนึ่งปี ดังนั้น แม้วัฏจักรใหม่จะเริ่มแล้ว แต่วัฏจักรที่ผ่านมาก็อาจจะยังไม่สิ้นสุดเสียทีเดียว นอกจากนี้นักดาราศาสตร์ยังคิดว่า มีความเป็นไปได้ที่ วัฏจักรที่ 23 อาจจะยืดเยื้อเช่นเดียวกับ วัฏจักรที่ 20 ที่ครองแชมป์การเป็นวัฏจักรที่กินระยะเวลานานที่สุดก็เป็นได้
ที่มา www.swpc.noaa.gov
ทีมงานของ Arnab Rai Choudhuri และเพื่อนร่วมงานจาก Indian Institute of Science ในเมืองบังกา ลอร์ และ จาก Chinese Academy of Sciences แห่งกรุงปักกิ่ง ได้คำนวณปฏิกิริยาบนดวงอาทิตย์สำหรับวัฏจักรดวงอาทิตย์รอบที่ 24 ว่ ปฎิกริยาของดวงอาทิตย์วงรอบใหม่นี้จะไม่รุนแรงมาก คาดว่าจะมีความรุนแรงน้อยกว่าวงรอบปัจจุบันประมาณ 35% และแน่นอนว่าก็ย่อมมีอีกฟากฝั่งมองตรงข้าม ว่าอาจจะมีความรุนเเรงมากขึ้น
ระดับความแปรปรวนของดวงอาทิตย์ ย่อมส่งผลต่อโลกอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งผลต่อสภาพอากาศระยะยาวของโลกหรือ อนุภาคที่พุ่งมาจะไปรบกวน ระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม ระบบสายการบิน สัญญาณระบุพิกัดบนโลก หรือ "จีพีเอส" รบกวนสัญญาณวิทยุและโทรทัศน์ การใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ขัดข้อง รวมทั้งระบบไฟฟ้า จากการที่สนามแม่เหล็กบนท้องฟ้ายังก่อให้เกิดกระแสไฟฟ้าที่ผิวโลก อาจทำให้เกิดปัญหากับการไฟฟ้า อย่างเหตุการณ์ไฟฟ้าดับขนานใหญ่ที่เคยเกิดขึ้น ที่ชายฝั่งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา และในแคว้นควิเบกของประเทศแคนาดา ในปีพ.ศ. 2532 นอกจากนี้รังสีที่แผ่มาจากดวงอาทิตย์ยังทำให้ผู้โดยสารบนเครื่องบินได้รับ รังสีอีกด้วย
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อีกเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น ก็จะถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์จะเป็นผู้ตัดสินว่า เราจะต้องเจอกับสภาวการณ์ใดกันแน่ แต่ที่แน่ๆ การเกรี้ยวกราดของดวงอาทิตย์ไม่ว่าการเกิดจะรุ่นแรงมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องเตรียมรับมือให้พร้อมเท่าที่จะทำได้นั้นเอง
reference:
ออโรร่า เกิดขึ้นได้อย่างไร ที่มา สุวิชา วรรณวิเชียร
วัฏจักรสุริยะรอบใหม่เริ่มต้น ? ที่มา วิมุติ วสะหลาย
"วัฎจักรสุริยะ" รุนแรง ที่สุด อีก 4 ปี ที่มา ASTVผู้จัดการออนไลน์
ลมสุริยะ และวัฎจักรแห่งดวงอาทิตย์ ที่มา www.inscience.tripod.com
Glossary คำศัพท์ที่สำคัญ ที่มา www.thaispaceweather.com
Solar wind and Solar Cycle : ลมสุริยะ และวัฎจักรแห่งดวงอาทิตย์ ที่มา inscience.tripod.com
ลมสุริยะ ที่มา www.thaispaceweather.com
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น