นิตยสาร Time ได้จัดอันดับให้ยาน Lunar Reconnaissance Orbiter (LRO) เป็น 1 ใน 50 สิ่งประดิษฐ์ยอดเยี่ยมของโลก LRO เป็นยานสำรวจดวงจันทร์ที่ไม่ต้องใช้มนุษย์ควบคุม ผลงานขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐ (NASA) มันจะถูกส่งไปสำรวจดวงจันทร์ในเดือนกุมภาพันธ์ 2009 โดยมีภารกิจสำคัญคือ สำรวจน้ำแข็งในบริเวณขั้วใต้ของดวงจันทร์โดยใช้ดาวเทียมแอลครอส (Lunar CRater Observation and Sensing Satellite : LCROSS) ที่นำไปด้วย และถ่ายภาพพื้นผิวดวงจันทร์ ทำแผนที่สามมิติความละเอียดสูง รวมทั้งศึกษาสารพัดเรื่องทั้งอุณหภูมิ พื้นผิว บรรยากาศต่างๆ ของดวงจันทร์ ผลกระทบจากรังสีที่มีต่อมนุษย์ จุดตั้งฐานที่เหมาะสม และรูปแบบหุ่นยนต์ที่เหมาะสมกับการทำงานบนดวงจันทร์ พร้อมเสาะหาสถานที่ลงจอดอันเหมาะสมสำหรับยานอวกาศที่จะมีมนุษย์เดินทางไปด้วย เพื่อเป็นการนำร่องนำไปสู่การส่งมนุษย์ตามไปในปี 2020 แล้วตั้งสถานีประจำอยู่ที่นั่นเพื่อไปตั้งฐานและใช้เป็นจุดเชื่อมไปสู่การสำรวจอวกาศไกลออกไป
นับเป็นครั้งแรกในรอบทศวรรษที่ NASA หันมาให้ความสนใจกับดวงจันทร์ใหม่
เยือนดวงจันทร์ ใครๆก็ไปได้ แม้ตัวไม่ได้ไป ได้ฝากชื่อไปเยือนก็ยังดี เมื่อ NASA เปิดโอกาสให้คุณส่งชื่อตัวเองไปกับยานสำรวจดวงจันทร์ Lunar Reconnaissance Orbiter (LRO) และคุณยังจะได้ Certificate ไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย
ที่มา gizmodo.com
กำหนดเดิมของการเดิมของได้กำหนดไว้ในปลายปี 2551 แต่ก็ได้เลื่อนออกมา จนกระทั่งถึงวันที่ 18 มิถุนายน 2009 ซึ่งตรงกับเช้ามืดวันศุกร์ที่ 19 ตามเวลาประเทศไทยจึงได้ถึงฤกษ์ถูกปล่อยออกจากฐานที่สถานีแห่งหนึ่งของฐานทัพอากาศบนแหลมคานาเวอรัล ด้วยจรวดแอตลาส-5 (Atlas V rocket) ที่บรรทุกยานสำรวจดวงจันทร์สองลำคือ LRO และยานลำเล็กกว่าซึ่งมีชื่อว่า LCROSS คาดว่ายานทั้งสองลำจะเดินทางถึงดวงจันทร์ใน 4 วันข้างหน้าโดยยานถูกกำหนดให้ลงจอดในหลุมบนดวงจันทร์ที่อยู่ ใกล้กับบริเวณส่วนขั้วโลกใต้ของดวงจันทร์
ที่มา solarsystem.nasa.gov
LRO ได้เข้าสู่วงโคจรรอบดวงจันทร์เมื่อเวลา 17.27 น. ของวันที่ 23 มิถุนายน 2009 ที่ผ่านมา ที่ดวงจันทร์แรงโน้มถ่วงทำให้ยานโคจรรอบดวงจันทร์เป็นวงรี หลังจากนั้นศูนย์ควบคุมจากโลกจะทำการปรับวงโคจรของยานให้ยานโคจรรอบดวงจันทร์เป็นวงกลมที่ความสูง 50 กิโลเมตร และด้วยระนาบวงโคจรทำมุมเกือบตั้งฉากกับเส้นศูนย์สูตร จะช่วยทำให้ยานสามารถโคจรผ่านขั้วทั้งสองของดวงจันทร์ นี่ทำให้ยานสำรวจสภาพแวดล้อมทางรังสีของดวงจันทร์ได้ทั่วถึง
และเมื่อ LRO เข้าสู่วงโคจรชั้นในของดวงจันทร์แล้ว ตั้งแต่วันที่ 27 มิ.ย. เป็นต้นไป เครื่องมือและอุปกรณ์ที่บรรทุกไปกับยาน จะเริ่มเชื่อมต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และดำเนินการสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์ เช่น กล้อง เครื่องตรวจจับด้วยอินฟราเรด และเครื่องวัดความสูงด้วยแสงเลเซอร์ สำหรับกล้องที่ อยู่ ในยาน LRO จะมีความสามารถในการมองเห็นวัตถุที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเพียง 50 เซนติเมตร อุปกรณ์เหล่านี้สามารถสำรวจพื้นผิวดวงจันทร์ใด้ภายใต้สเปกตรัมที่ ความยาวคลื่นต่างๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลภาพถ่ายภูมิประเทศบนดวงจันทร์ในแบบ 3 มิติ ที่ละเอียดมากยิ่งขึ้น และยังใช้หาอุปกรณ์ที่ยานอพอลโลทิ้งไว้บนดวงจันทร์ในระหว่างปี 2512-2515 ได้อีกด้วย นอกจากนี้เพื่อความปลอดภัยของนักบินอวกาศจาก Cosmic Ray จึงได้เตรียมพร้อมอุปกรณ์กล้องโทรทรรศน์ซึ่งห่อหุ้มด้วยหนังมนุษย์เทียม เพื่อทำความเข้าใจกับผลของรังสีสะท้อนจากดวงจันทร์ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อมนุษย์
มาที่ดาวเทียม LCROSS (Lunar CRater Observation and Sensing Satellite) เป็นปฏิบัติการที่จะชนพื้นผิวดวงจันทร์ในการสำรวจหาน้ำแข็ง ซึ่งจะติดอยู่กับ LRO ไปจนถึงเดือนตุลาคม ก่อนที่จะแยกออกไปสำรวจดวงจันทร์ในระดับที่มีความลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ที่มา www.spaceinfo.com.au
LCROSS จะมีจรวดที่เรียกว่าเซนทอร์ (Centaur) ซึ่งหนัก 2 เมตริกตัน ประกบติดไปด้วย ซึ่งแยกตัวออกจาก LCROSS พุ่งชนดวงจันทร์ในบริเวณหลุมอุกกาบาตที่ขั้วใต้ พิสูจน์ว่าหลุ่มลึกที่คาดว่าแสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องถึงก้นหลุมมานานถึง 2,000 ล้านปีอาจจะมีน้ำซึ่งหากมีจริงเเล้ว แหล่งน้ำที่นี่ก็จะเป็นทรัพยากรที่สำคัญสำหรับโครงการสำรวจดวงจันทร์ด้วยมนุษย์ในระยะยาว ช่วยลดภาระการบรรทุกน้ำและเชื้อเพลิงจากโลก
และผลจากแรงระเบิดจากการกระแทกพื้นผิวด้วยอัตราเร็วประมาณ 2.5 กิโลเมตรต่อวินาทีจะทำให้ฝุ่นผงซึ่งประกอบด้วยดินและหินกว่า 350 ตันของพื้นผิวดวงจันทร์ลอยขึ้นมาบนท้องฟ้าสูงถึง 6 ไมล์ ซึ่งถ้าหากมีน้ำแข็งอยู่ในหลุมลึกแห่งนี้ ก็คาดว่าสมารถตรวจจับร่องรอยของน้ำจากการระเหยเป็นไอออกมาได้ และเมื่อปล่อยจรวจออกไปแล้ว LCROSS จะบินฝ่าเข้าไปในหมอกที่ฟุ้งขึ้นมาแล้วทำการวัดค่าต่างๆ รวมทั้งสัญญาณที่อาจช่วยพิสูจน์ยืนยันได้ว่ามีน้ำแข็งอยู่จริงส่งข้อมูลกลับยังพื้นโลก ก่อนที่ก่อนที่มันจะพุ่งกระทบพื้นผิวดวงจันทร์ภายในเวลา 4 นาที ตามหลัง หลังจากที่จรวด Centaur ถูกยิงออกไป
สำหรับการพุ่งชนในครั้งนี้ ทางNASAได้กะว่าจะทำในช่วงเวลาเวลากลางคืนของทวีปอเมริกา เพื่อให้เพื่อให้หอดูดาวต่างๆ ในประเทศทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำมิสซิสซิปปีในสหรัฐ สามารถสังเกตเหตุการณ์นี้ผ่านกล้องโทรทรรศที่มีความยาว 12 ไปพร้อมกัน
ผลพลอยได้ที่อาจมาจากโครงการสำรวจในครั้งนี้ คือ การยืนยันข้อสงสัยที่หลายคนกังขา NASA มาตลอดว่าการเยท้อดวงจันทร์ของโครงการอพอลโลเป็นเรื่องหลอกลวง เพราะคาดว่าภาพถ่ายที่มีความละเอียดสูงที่สามารถแยกแยะวัตถุที่มีขนาดไม่ถึง 1 เมตร จะทำให้เห็นร่องรอยของยานทิ้งไว้บนดวงจันทร์ได้
ข้อทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ ที่กล่าวหาว่าโครงการอะพอลโลเป็นเรื่องหลอกลวงอาจถึงคราวยุติลงได้ เพราะนักดาราศาสตร์คาดว่าภาพถ่ายจากยานแอลอาร์โอจะสามารถแยกแยะวัตถุที่มีขนาดไม่ถึง 1 เมตร บนพื้นผิวดวงจันทร์ได้ ซึ่งละเอียดมากพอที่จะจับภาพร่องรอยของรถสำรวจและส่วนลงจอดของยานอะพอลโลที่ถูกทิ้งไว้บนนั้น
และนี่คือส่วนหนึ่งของภาพถ่ายที่ ยืนยันโรงการอพอลโล
All images credit: NASA/Goddard Space Flight Center/Arizona State University
และโครงการนี้ถือเป็นก้าวแรก สำหรับแผนการกับสู่ดวงจันทร์ของมนุษย์ครั้งที่สอง โดยกำหนดไว้ว่าปฏิบัติการนี้ที่จะใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีในวงโคจรต่ำผ่านขั้วดวงจันทร์ในปฏิบัติการสำรวจหลัก ก็อาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะยายเวลาออกไปอีก 3 ปี เพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลของดวงจันทร์เพิ่มมากขึ้น และเราก็เตรียมจับตาดูกันว่าความคึกคักของการส่งยานสำรวจดวงจันทร์จากหลายๆประเทศในตอนนี้ทั้ง จีน ญี่ปุ่น อินเดีย จะทำให้เราเห็นภาพแห่งอดีต ของมนุษย์ที่ก้าวเท้าย่ำบนดวงจันทร์อีกเมื่อใด
แหล่งที่มา:
astronomy.com : Lunar Reconnaissance Orbiter ships south in preparation for launch Reporter By MCOT News
LRO Sees Apollo Landing Sites By www.nasa.gov
ยานสำรวจดวงจันทร์ล่าสุด โดย วรเชษฐ์ บุญปลอด: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย
ยาน LRO ถึงที่หมายมุ่งสร้างแผนที่ให้นาซาใช้ ยามกลับไปเหยียบดวงจันทร์ โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น