google search

วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ประเพณีตักบาตรดอกไม้


ตักบาตรดอกไม้ ณ วัดพระพุทะบาทราชวรมหาวิหาร อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี
ตามความเชื่อของชาวพุทธการตักบาตรดอกไม้เป็นการสร้างอานิสงส์ที่สูงส่งอย่างยิ่ง โดยปรากฏตามพุทธตำนานว่า พระเจ้าพิมพิสาร กษัตริย์แห่งกรุงราชคฤห์
ทรงโปรดปรานดอกมะลิมาก ในแต่ละวันจะรับสั่งให้นายมาลาการนำดอกมะลิสดมาถวายถึงวันละ 8 กำมือ วันหนึ่งขณะที่นายมาลาการกำลังเก็บดอกมะลิ
ได้พบเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกบิณฑบาตพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์อีกจำนวนหนึ่ง นายมาลาการสังเกตเห็นพรรณรังษีฉายประกายรอบๆ พระวรกาย
ทำให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาพระพุทธองค์อย่างยิ่ง
นายมาลาการตัดสินใจนำดอกมะลิที่มีไปถวายแด่พระพุทธเจ้า พร้อมกันนั้นก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า ข้าวของทุกสิ่งที่พระเจ้าพิมพิสารทรงมอบให้เพียงเพื่อยังชีพในภพนี้เท่านั้น
แต่การนำดอกไม้ถวายบูชาแก่พระพุทธองค์สร้างอานิสงส์ได้ทั้งภพนี้และภพหน้า หากถูกประหารชีวิตเพราะไม่ได้ถวายดอกมะลิก็ยินยอม ครั้นภรรยานายมาลาทราบ
เกิดความเกรงกลัวว่าจะต้องโทษที่สามีไม่ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้าพิมพิสารจึงหลบหนีออกจากบ้านไป แต่หลังจากที่พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบ
กลับพอพระราชหฤทัยเป็นอันมาก และได้ปูนบำเหน็จรางวัลความดีความชอบแก่นายมาลาการ นับแต่นั้นมาชีวิตของนายมาลาการก็อยู่อย่างมีความสุข
ชาวอำเภอพระพุทธบาทจึงนำพุทธตำนานดังกล่าวยึดถือประเพณีตักบาตรดอกไม้เป็นประเพณีสำคัญ
ปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นประจำทุกปี เมื่อถึงกำหนดวันเข้าพรรษา คือ วันแรม 1 ค่ำเดือน 8 ของทุกปีจะเป็น
วันประเพณีตักบาตรดอกไม้ โดยตอนเช้าคนแก่คนเฒ่าตลอดจนหนุ่มสาวจะพากันไปทำบุญตักบาตรข้าวสุก
แด่พระภิกษุสงฆ์ที่วัดพระพุทธบาทราชวรวิหาร เสร็จจากการทำบุญตักบาตรแล้วบรรดาหนุ่มสาวพากัน
ออกจากบ้านขึ้นเขาไปเก็บดอกไม้ที่จะบาน เฉพาะช่วงเข้าพรรษาจนได้ชื่อเรียกขานว่า "ดอกเข้าพรรษา"
เพื่อเตรียมไว้สำหรับตักบาตรดอกไม้ในตอนบ่ายของวันเดียวกัน (ปัจจุบันดอกเข้าพรรษาสามารถปลูกได้) ดอกเข้าพรรษาอยู่ในสกุลกลอบบา มีลักษณะคล้ายกับต้นกระชาย หรือขมิ้น สูง 1 คืบเศษๆ มักขึ้นตามท้องที่ป่าเขา
ที่มีความชุ่มชื้นค่อนข้างสูง ลำต้นขึ้นเป็นกอจากหัวหรือเหง้าใต้ดิน ดอกมีขนาดเล็กออกเป็นช่อส่วนยอดของลำต้น
มีหลายสี เช่น ขาว เหลือง เหลืองแซมม่วง และบางต้นก็มีสีน้ำเงินม่วงม่วง และจะมีดอกรองรับในช่อดอก
ดูเป็นช่อใหญ่สวยงาม โดยเฉพาะชนิดดอกเหลืองจะมีกลีบรองสีม่วงสะดุดตามากซึ่งจะหายากมากกว่าสีอื่น
ชาวบ้านบางคนจึงเรียกว่า "ดอกยูงทอง" หรือ "ดอกหงส์ทอง"
 
เมื่อเก็บดอกไม้มาแล้ว ก็นำมามัดรวมกับธูปและเทียน จากนั้นชาวบ้านจะมาตั้งแถวรออยู่ริมถนนทั้ง 2 ฝั่ง ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วงเวียนถนนสายคู่ไปจนถึงประตูพระมณฑป-
พระพุทธบาท เมื่อถึงเวลาอันเป็นมงคลพระภิกษุสงฆ์จะออกบิณฑบาต โดยมีขบวนแห่กลองยาวพร้อมด้วยนางรำรำหน้ากลองยาวอย่างครึกครื้น ถัดจากขบวนกลองยาว
เป็นพระพุทธรูปซึ่งขึ้นประดิษฐานอยู่บนรถแห่ ตามด้วยขบวนพระสงฆ์เดินมาเพื่อบิณฑบาตดอกไม้ไปเรื่อยๆ ไปจนถึงประตูพระมณฑป ในขณะที่พระภิกษุสงฆ์และ
สามเณรเดินลงจากมณฑปจะเข้าสู่อุโบสถนั้น ประชาชนจะนำน้ำสะอาดล้างเท้าแด่พระภิกษุสงฆ์บริเวณบันไดและทางเดิน จึงเกิดเป็น "ประเพณีล้างเท้าพระ" ขึ้น
ด้วยความเข้าใจที่ว่าเป็นการชำระล้างบาปของตนที่ได้กระทำให้หมดสิ้นไป 
ต่อจากนั้นพระภิกษุสงฆ์ก็จะนำเอาดอกไม้เข้าไปในมณฑปพระพุทธบาท เพื่อเป็นเครื่องสักการะวันทา "รอยพระพุทธบาท" แล้วนำเอาดอกไม้ไปวันทาพระเจดีย์ "จุฬามณี"
เจดีย์ที่บรรจุพระเขี้ยวแก้วจำลองขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สุดท้ายจึงนำไปสักการะพระเจดีย์พระมหาธาตุองค์ใหญ่ ซึ่งชาวพุทธถือกันว่าเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระบรม-
สารีริกธาตุ (กระดูกซี่โครง ของพระพุทธเจ้า) จากนั้นพระภิกษุสงฆ์และสามเณรทั้งหมดก็จะเดินตรงไปเข้าอุโบสถสวดอธิษฐานเข้าพรรษา เพื่อเปล่งวาจาว่าจะอยู่ในอาณาเขต
ที่จำกัดในระหว่างฤดูกาลเข้าพรรษา

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ความรู้รอบตัว-สาระน่ารู้ต่างๆ

-

free counters